ยาแก้ปวด คืออะไร

ยาแก้ปวด คือ ยาที่ช่วยบรรเทาหรือลดความเจ็บปวดในร่างกาย ไม่ว่าจะมาจากการบาดเจ็บ การอักเสบ หรือโรคต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องรักษาสาเหตุของความปวดให้หายขาด ยามีหลายประเภทแล้วแต่การรักษาอาการ

ตอนที่ 1 : ยาแก้ปวดมีกี่ประเภท

ตอนที่ 2 : เลือกยาแก้ปวดให้เหมาะกับอาการ

ตอนที่ 3 : ยาแก้ปวด Paracetamol กับ NSAIDs ต่างกันอย่างไร

ตอนที่ 4 : ผลข้างเคียงของยาแก้ปวดที่ต้องระวัง

ตอนที่ 5 : สรุป

ยาแก้ปวด มีกี่ประเภท

ยาแก้ปวด

ยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอล

  • การออกฤทธิ์: ออกฤทธิ์ลดไข้และบรรเทาอาการปวดได้ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยมีผลต่อสมองและระบบประสาทส่วนกลางเป็นหลัก
  • เหมาะสำหรับ: อาการปวดศีรษะ, ปวดฟัน, ปวดกล้ามเนื้อ, และลดไข้
  • ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้ยาเกินขนาด เพราะอาจเป็นพิษต่อตับอย่างรุนแรง

ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs

  • การออกฤทธิ์: มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด ลดไข้ และที่สำคัญคือ ลดการอักเสบ ด้วยการยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบ
  • เหมาะสำหรับ: อาการปวดที่มีการอักเสบร่วมด้วย เช่น ปวดกล้ามเนื้อจากการบาดเจ็บ, ปวดข้อ, ปวดประจำเดือน, ปวดฟัน
  • ตัวอย่างยา: ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), ไดโคลฟีแนค (Diclofenac), นาพรอกเซน (Naproxen) เลขเด็ดงวดนี้
  • ข้อควรระวัง: อาจมีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร (เช่น แสบท้อง เลือดออกในกระเพาะ) และมีผลต่อไตในผู้ที่ใช้เป็นเวลานาน

ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์

  • การออกฤทธิ์: เป็นยาที่ออกฤทธิ์แรงที่สุด โดยจะไปจับกับตัวรับในสมองเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด
  • เหมาะสำหรับ: อาการปวดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวดชนิดอื่น เช่น ปวดจากโรคมะเร็ง, ปวดหลังผ่าตัด
  • ตัวอย่างยา: มอร์ฟีน (Morphine), โคเดอีน (Codeine), ทรามาดอล (Tramadol)
  • ข้อควรระวัง: เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากมีโอกาสติดยาได้สูงและมีผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อระบบประสาทส่วนกลาง

เลือก ยาแก้ปวด ให้เหมาะกับอาการ

  1. อาการปวดศีรษะ, ปวดฟัน, ปวดกล้ามเนื้อ (ไม่รุนแรง)
  • ยาที่แนะนำ: พาราเซตามอล (Paracetamol)
  • เหตุผล: เป็นยาขั้นพื้นฐานที่ปลอดภัยที่สุด ออกฤทธิ์ลดไข้และบรรเทาอาการปวดในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีผลข้างเคียงน้อย เหมาะสำหรับอาการปวดทั่วไปที่ไม่มีอาการอักเสบร่วมด้วย
  1. อาการปวดที่มีการอักเสบร่วมด้วย
  • ยาที่แนะนำ: กลุ่มยา NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), นาพรอกเซน (Naproxen)
  • เหตุผล: ยาในกลุ่มนี้มีฤทธิ์บรรเทาปวดและลดการอักเสบได้ดี จึงเหมาะกับอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบ เช่น ปวดกล้ามเนื้อจากการบาดเจ็บ (เช่น เคล็ดขัดยอก) , ปวดประจำเดือน ที่เกิดจากการบีบตัวของมดลูก , ปวดข้อ, ปวดจากโรคเกาต์
  • ข้อควรระวัง: ควรทานหลังอาหารทันทีเพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้หากมีโรคกระเพาะอาหารหรือโรคไต

  1. อาการปวดรุนแรง
  • ยาที่แนะนำ: กลุ่มยาโอปิออยด์ เช่น โคเดอีน (Codeine), ทรามาดอล (Tramadol)
  • เหตุผล: เป็นยาที่ออกฤทธิ์แรงที่สุด และใช้เฉพาะในกรณีที่อาการปวดไม่ตอบสนองต่อยาชนิดอื่น ๆ เช่น อาการปวดรุนแรงจากโรคมะเร็ง หรือปวดหลังการผ่าตัด
  • ข้อควรระวัง: ยาในกลุ่มนี้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น เพราะมีโอกาสติดยาได้สูง

ยาแก้ปวด Paracetamol กับ NSAIDs ต่างกันอย่างไร

ยาแก้ปวด

พาราเซตามอล

เป็นยาบรรเทาปวดที่เน้นการบรรเทาอาการปวดและลดไข้โดยตรงที่สมองและระบบประสาทส่วนกลาง จุดเด่นคือไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ จึงเหมาะสำหรับอาการปวดทั่วไปที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดศีรษะ ปวดฟัน หรือปวดเมื่อยตามตัว  

ซึ่งไม่มีอาการบวมแดงหรืออักเสบร่วมด้วย ยาพาราเซตามอลมีความปลอดภัยสูงและมีผลข้างเคียงน้อย หากใช้ตามขนาดที่แนะนำ แต่สิ่งที่ต้องระวังอย่างมากคือการใช้ยาเกินขนาด ซึ่งจะส่งผลเสียต่อตับอย่างรุนแรง

ยาในกลุ่ม NSAIDs

เป็นกลุ่มยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ นาพรอกเซน (Naproxen) เป็นยาบรรเทาปวดที่ออกฤทธิ์ได้ครอบคลุมกว่าพาราเซตามอล เพราะนอกจากจะบรรเทาอาการปวดและลดไข้แล้ว ยังมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบได้อีกด้วย ยาชนิดนี้จึงมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการปวดที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบ เช่น … 

ปวดกล้ามเนื้อจากการบาดเจ็บ ปวดข้อ หรือปวดประจำเดือนที่เกิดจากการบีบตัวของมดลูก อย่างไรก็ตาม ยาในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่ต้องระวังคืออาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และหากใช้เป็นเวลานานอาจมีผลต่อการทำงานของไต เลขเด็ดงวดนี้

ผลข้างเคียงของ ยาแก้ปวดที่ต้องระวัง

ผลข้างเคียงของยาพาราเซตามอล

ยาพาราเซตามอลถือว่ามีความปลอดภัยสูง แต่ผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุดคือ พิษต่อตับ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อใช้ยาเกินขนาดที่แนะนำ เช่น ทานเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ใหญ่ หรือทานยาติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไปโดยไม่จำเป็น การใช้ยาเกินขนาดอาจนำไปสู่ภาวะตับวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

ผลข้างเคียงของยาในกลุ่ม NSAIDs

  • ผลต่อกระเพาะอาหาร: ยา NSAIDs อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดท้อง แสบท้อง หรือรุนแรงถึงขั้น เลือดออกในกระเพาะอาหาร ได้ จึงควรทานยาหลังอาหารทันที
  • ผลต่อไต: หากใช้ยาในกลุ่มนี้เป็นเวลานานโดยไม่มีการควบคุม อาจส่งผลต่อการทำงานของไต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคไตอยู่เดิม
  • ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: ยาบางชนิดในกลุ่ม NSAIDs อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

สรุป

ยาที่ใช้บรรเทาอาการปวดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ หรือบาดเจ็บ มักแบ่งเป็นยาแก้ปวดทั่วไปและยาแก้ปวดแรง ตามความรุนแรงของอาการ การใช้ยาอย่างถูกต้องสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงและปัญหาสุขภาพระยะยาว